ปากช่องเป็นเมืองคาวบอยเมืองไทย เป็นอย่างไรหนอ ภาพแรกที่ไปเจอคือภาพนายกเทศบาลเมืองปากช่อง ที่คณะเราไปรับประทานอาหารเย็น คาวบอยตัวจริงซะด้วย (ท่านไม่ได้มาต้อนรับพวกเราหรอก ถ่ายรูปใส่ไวนิวส์มาแขวนไว้ต้อนรับแทน) ร้านอาหารของท่านอยู่ริมแม่น้ำยม ถ้าฝนไม่ตกน้ำคงจะใสสะอาดน่าดู แต่นี่เพิ่งผ่านฝนตกมาหมาด ๆ น้ำในลำน้ำยมจึงสีเหมือนชาใส่นม (ชาเย็น) ซะงั้น
ร้านอาหารนายกปากช่อง
เสร็จจากอาหารเย็นท่ามกลางฝนพรำ เมืองปากช่องเงียบสงบ ทัวร์พาเราเขาพักที่โรงแรมปากช่องแลนด์มาร์ก นับเป็นครั้งแรกที่ได้พักโรงแรมในเมืองไทยชั้นที่หนึ่ง อ่านดี ๆ นะคะ ชั้นที่หนึ่ง ไม่ใช่ชั้นหนึ่ง คือไม่ใช่ชั้นที่สองหรือสาม
ทำไงดีก็มันยังหัวค่ำอยู่เลยจะนอนเข้าไปได้อย่างไร เดินเตร่ลงมาล็อบบี้ มองหาอินเตอร์ฟรีหรือจ่ายตังค์ก็ได้ ปรากฎว่าไม่มีจึงถามน้องผู้ชายที่อยู่ประจำอยู่ที่เค้าเตอร์ ว่ามีอินเตอร์ให้เช่าไหม เขามีบอกว่าให้เล่นฟรี พี่มีโน๊คบุ๊คมาไหม มันจะมีได้ยังเล่าน้องเอ๋ย ทำตาอ้อนวอนนิดหน่อย น้องมันเลยไปหยิบโน๊คบุ๊คส่วนตัวมาให้ใช้ (ฟรีทั้งเครื่องฟรีทั้งสัญญาณ ช่างเข้าทางดีแท้ ! ) แหม่ ! คนปากช่องใจดีซะนี่กระไร เช็คเมลออกมาเป็นตับตอบไม่หมด เอาที่จำเป็นเพื่อนซี้ ๆ เท่านั้นพอ คืนเครื่องน้องไปเพราะเกรงใจ ไปนอนดีกว่า
เช้าตื่นขึ้นมาสดชื่นรื่นรมย์กับเสียงฝนกระทบพื้น (เพราะนอนชั้นหนึ่ง) ที่ลอดแอร์เข้ามาก็ไพเราะดี (ถ้าอยู่บ้านยังไม่คลานออกจากที่นอน)
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเสร็จแล้วก็มาชมและเลือกซื้อผลไม้ประจำฤดูกาลของปากช่อง ตามทางผ่านขาเข้ากรุงเทพฯ แม้เจ้าโว้ย ! น้อยหน่า
สามเข่ง ๑๐๐ ใครจะกินเข้าไปหมด ลองชิมแล้วหวานหอมอร่อย ซื้อยกเข่งคงไม่ไหวเอาลูกเดียวพอนะ
ถัดไปไม่ไกล ก็นำเราไปชิมองุ่นสด ๆ จากไร่สุพัตรา สารพัดผลิตภัณฑ์จากองุ่น
อดไม่ไหวที่จะได้ภาพสวย ๆ ของพวงองุ่นงาม ๆ
หลังฝนตก หยดน้ำยังคงเหลือไว้ให้เห็นเป็นบุญตา
ไร่สุดลูกหูลูกตา จะมีโอกาสได้มาเป็นสะใภ้ไร่นี่ไหมหนอ อิอิ
..................