วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แค่คิดถึงก็ซึ้งแล้ว





แค่บอกว่าคิดถึงก็ซึ้งแล้ว
ดวงดอกแก้วกลีบเฉาคลายเศร้าหมอง
ดุจน้ำทิพย์ฉ่ำใสหัวใจพอง
สิ่งที่พร่องเต็มปริ่มอิ่มเอมใจ

เคยหวลไห้โหยหาค่าของรัก
เพิ่งประจักษ์ว่ารักนั้นมันอยู่ใกล้
อยู่ในห้วงความคิดถึงบึ้งหทัย
เป็นสายใยร้อยถักรักผูกพัน

รักใช่คู่...ชู้ชื่น...อาจขื่นขม
ซ่อนอารมณ์ ไหวหวามในความฝัน
รักที่แท้คือรักมิตรนิจนิรันดร์
รักคงมั่นรักอยู่มิรู้จาง

หากวันนี้เราจับจองครองเป็นเจ้า
คงเหงาเศร้าร้าวรักหรือหักห่าง
ความใกล้อาจให้แตกต้องแยกทาง
ให้รักร้างแรมราหรือลาไกล

จงรักษามิตรภาพอันซาบซึ้ง
ความคะนึงคิดถึงกันนั้นยิ่งใหญ่
เป็นพลังโอบกอดตลอดไป
สองดวงใจผูกพันจนวันตาย

บันทึกของนิฌา



ตอนที่ ๑....
เดินตามฝัน

เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา
นิฌา..ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง
ซึ่งขณะนั้นเธออยู่ในวัยรุ่นเป็นผู้หญิงช่างฝัน
ฝันเห็นแต่สิ่งที่สวยงาม มองโลกในแง่ดี
ทุกคนที่อยู่รอบข้างเธอจะมีความสุขไปกับความเป็นคนช่างฝันของเธอ

เธอมีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเข้าใจความรู้สึกของเธอ
และผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
เขาเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอโดยไม่ต้องบอกกล่าว
ทุกอารมณ์ความรู้สึก เขาเป็นนักสังเกตุและจดจำรายละเอียด
จนเธอเองคิดไม่ถึง เขาเหมือนสุภาพบุรุษในใจเธอ
เธอเก็บเขาไว้ในใจตั้งแต่นั้นมา...

วันเวลาและระยะทาง
ต่างคนต่างไปทำหน้าที่มนุษย์ตามเส้นทางที่ตนเองเลือกเดิน
ทราบว่าเขาไปมีครอบครอบครัว
ส่วนเธอไปเป็นครูสอนเด็กตามอุดมการณ์เดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเธอ
ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ลูกศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านการปั้นด้วยมือเธอ
เธอเก็บเขาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจและเดินตามความฝันของเธอต่อไป
เมื่อมีปัญหาและอุปสรรคเธอจะนึกถึงเขา
“ถ้าเขาอยู่ข้างกายฉันในตอนนี้คงมีเพื่อนคอยปลอบใจและเป็นคู่คิดในการแก้ปัญหา” แล้วเก็บเขาไว้ ณ จุดเดิม...
......................................

ตอนที่ ๒..
จุดเปลี่ยน...

สิบเจ็ดปีผ่านไปบนเส้นทางเดินสายการสร้างคนให้เป็นพลเมืองของชาติของเธอ
เธอเบนเข็มชีวิตอีกครั้งแต่ยังไม่หนีเส้นทางการศึกษา
เธอก้าวเข้ามาสร้างครูเพื่อไปสร้างเด็ก....
เนื่องจากเธอทนเห็นสภาพการบริหารที่ไม่เอาไหนของหลาย ๆ ฝ่าย
แม้เธอรู้ตัวดีว่าเธอคงช่วยอะไรได้ไม่มากกับสังคมนี้
แต่ก็ยังดีที่เธอเริ่มต้นที่ตัวเอง “start by starting”
เธอก้าวเข้ามาในสายบริหารการศึกษาเพื่อผลักดันในสิ่งที่เธอฝันให้เป็นจริง

ด้วยภาระและหน้าที่เธอก้าวไปอยู่ในเมืองใหญ่อย่างไร้ญาติขาดมิตร
แต่เธอก็ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าและท้าทาย
และด้วยเธอเป็นคนมี อัธยาศัยไมตรี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
เธอจึงมีเพื่อน มีญาติ มีมิตรใหม่
เดินไปไหนมาไหนมีแต่คนทักทายด้วยรอยยิ้ม
..............................................


ตอนที่ ๓..
ตามหา

วันหนึ่งเธอกำลังหาค้นหาข้อมูลในการทำวิจัยให้องค์กรที่เธออยู่
เธอก็เหมือนคนทั่วไปในยุคโลกไร้พรมแดน
วิธีการสืบค้นข้อมูลที่เร็วที่สุดคือการค้นหาทางอินเตอร์เน็ท
แล้วเธอก็เห็นชื่อเธอที่ถูกประกาศตามหาโดยคนที่เธอเก็บเขาไว้ในซอกหลืบส่วนลึกของหัวใจ และลืมนำเขาออกมานึกถึงนานแล้ว จากเว็บไซด์หนึ่งโดยบังเอิญ
ตามหาตั้งแต่ห้าปีที่ผ่านมา...โดยเธอไม่รู้เลยว่ามาคนติดตามหาอยู่
เธอก็เริ่มติดตามทางอินเตอร์เน็ทว่าเขาอยู่ที่ไหน
ทำอะไรอยู่ แล้วใยจึงตามหาเธอ มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเขา
คำถามอีกมากมายประดังเข้ามาให้วนเวียนอยู่ในสมอง
เธอจึงโยนกระทู้ไปในเว็บไซด์นั้นทันที เผื่อว่าเขาผ่านเข้ามาเจอ
และได้ผลดังที่เธอคิดเพราะเขาเจอจริง ๆ
เมื่อกระทู้นั้นถูกตอบกลับโดยเข้าใจกันแค่คนสองคนเท่านั้น
ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน อะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้างตลอดเวลายี่สิบสามปีที่ผ่านมา
แต่ที่น่าฉงนเขารู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่
แต่ทำไมเขาไม่ติดต่อกลับ เขาแค่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ
.............................................

ตอนที่ ๔...
ช่องว่างทางสังคม...

เธอเดินอยู่บนถนนแถวหน้า ผู้คนยอมรับนับหน้าถือตา
แต่เขา...เป็นแค่นักเขียนอิสระ มันเหมือนเส้นแบ่งบาง ๆ ที่เขาเป็นฝ่ายขีดมันขึ้นมาส่วนเธอไม่เคยแม้แต่จะคิดแบ่งแยกชนชั้นของคนในสังคม ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ความคิดของคนตากหากที่แบ่งแยกกันเอง

เธออยากจะบอกเขาว่า
“สำหรับฉันแล้ว...คุณคือสุภาพบุรุษในใจฉันตลอดมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน...” เขาใช้ชีวิตแบบศิลปินแบบไหนเขาก็เป็นแบบนั้นมาตลอด เธอรู้ว่าความคิดของเขาใครก็เปลี่ยนไม่ได้
เธอพยายามจะเชื่อมโยงหรือสร้างภาพให้เขาเดินอยู่บนถนนสายเดียวกับเธอ
เพียงเพื่อหวังว่าความฝันในอดีตจะหวนกลับมา....
โดยการจัดฉากภารกิจอันสมจริงขึ้นมาให้เขาทำ
ด้วยการให้เขาเป็นวิทยากรอบรมให้ครูที่เธอดูและอยู่
ในความรู้ความสามารถพิเศษของเขา และเขาก็ทำอย่างทุ่มเทจนเป็นที่ยอมรับของผู้คนในแวดวงของเธอ

เขาก็รู้ว่าเธอกำลังจะจับเขาแสดงละครบทใหม่ที่เขาไม่เคยทำ
แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนช่างฝันและมีความสามารถพิเศษอยู่ในตัว
เขาจึงกล้ารับคำท้า อย่างไม่แน่ใจ แต่ผลออกมาดีเกินคาด
เธอเฝ้ามองการทำงานของเขา และแน่ใจว่าเขาคือผู้จุดประกายความฝันให้เธอก้าวต่อไปอีกเช่นเคย

เขามีความคิดเป็นปัจเจกสูง เป็นคนฉลาดที่จะคิด
จึงต้องตกเป็นทาสของความคิดตลอดมา
เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนความคิดของเขานี้ยากยิ่ง
เธอจึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนเขาอีกต่อไป แต่จะเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ
.........................................

ตอนที่ ๕...
ภาพฝันวันวาน....

ภาพต่าง ๆ มันแจ่มชัดขึ้นมาที่ละภาพจนต้องหวนคำนึง
เมื่อสิ่งที่เธอเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจในวันนั้นมันถูกหยิบขึ้นมาดูใหม่
นิฌา เธอเคยฝันว่าเขาคือเพื่อนร่วมทางของเธอในทุกขณะของชีวิต
ยามเธอเหงามีคนคอยเป่าขลุ่ย ดีดพิณ ร้องเพลงขับกล่อมให้เธอฟัง
ยามเธอมีปัญหามีคนคอยแสดงความคิดเห็นหาทางออกให้โดยไม่ครอบงำทางความคิดแก่เธอ
ยามเธอเศร้ามีคนคอยโอบกอดปลอบประโลมและเช็ดน้ำตาให้
ยามเธอมีความสุขมีคนคอยส่งยิ้มให้เธอ

..............................

ตอนที่ ๖...
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป...

วันเวลาที่ผ่านมา...ต่างคนต่างไปพบบทเรียนที่ตนเองแสวงหากันมาเพียงพอแล้ว
ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อถูกลงโทษ แต่เกิดมาเพื่อได้รับบทเรียน
เธอไม่ต้องการจะก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตของเขา

ไม่ต่างจากคนแปลกหน้า
ทั้ง ๆ ที่ใจเธอเมื่อแรกเห็น...อยากเข้าไปสวมกอดให้หายคิดถึง
วันที่พบกันอีกครั้ง...
เขาก้าวแผ่นประตูขาออกของสนามบิน
เธอไปรอรับเขาด้วยใจกระวนกระวาย
เพื่อจะเห็นหน้าเขาว่าเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
แววตาช่างฝันยังคงมีให้เห็นหรือไม่

ภาพของชายกลางคนตรงหน้าเธอ
เหมือนคนตรากตรำงานหนักมาทั้งชีวิต
รอยยิ้มยังเหมือนเดิม บนแววตาที่ไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง
หัวใจเธอแทบหลุดลอย...
เธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำถามว่า “คุณไปทำอะไรมา”
เพราะกลัวว่าไปตอกย้ำความรู้สึกที่เป็นปมด้อยของเขา
เธอต้องระวังคำพูดทุก ๆ คำที่กล่าวออกไป

เธออยากให้เวลาทั้งหมดเป็นของเธอ..แต่เธอทำไม่ได้
เพราะเธอไม่รู้ว่าเบื้องหลังของเขาที่เก็บซ่อนไว้นั้น...มีเธอหรือไม่
เธอจึงต้อนรับเขาเหมือนแขกของเธอคนหนึ่ง
ให้เขาพักโรงแรมชั้นหนึ่งของเมืองนั้น
บริการนำเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยว
ตลอดเวลาที่เขาปฏิบัติภารกิจที่เธอจัดฉากให้เขาทำ
เขาก็ไม่ได้เอื้อยเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจให้เธอฟัง
นอกจาก...ทิ้งคำสุดท้ายไว้ “ตามหามาห้าปี กว่าจะเจอ”
แล้วเขาลาลับผ่านประตูทางขึ้นเครื่องบินไป
...............................................

ตอนที่ ๗...
เธอผู้ไม่เคยเรียกร้อง

สิ่งที่เธอคิดคือใช่ “มนุษย์เพศผู้ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวได้”
เขามีภาระจริง ๆ หลังจากทราบว่าครอบครัวเขาต้องอับปางลงครั้งที่หนึ่ง
เขายังที่จะรับภาระของผู้อื่นเพื่อให้ตนเองมีเพื่อนมีครอบครัวในครั้งที่สอง
เขาคงเหนื่อยน่าดู แต่เธอก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้

เธอไม่ต้องการเห็นความแตกร้าวในครอบครัวใคร
ทุกคนก็ต้องการความรักความอบอุ่น
ต้องการเพื่อนคู่คิด
แต่ถ้าให้พรากของผู้อื่นมาเธอคงทำไม่ได้
และไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอ

เขาเองก็คงเห็นความเหมาะสมในสังคมเพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้น
เขาจึงต้องแสดงความเป็นตัวตนเหนือเหตุผล
ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้อยู่ว่าเวลาที่เหลืออยู่เขาควรจะชดเชยให้เธอเพียงผู้เดียว
เขาเป็นผู้ทำเวลาทั้งหมดของเธอหายไป
เธอผู้ไม่เคยเรียกร้อง
เธอผู้ไม่เคยทวงสิทธิ
เธอผู้ไม่เคยใช่สิทธิ
เธอคือผู้สละสิทธิเสมอมา
...............................

ตอนที่ ๘...
โหยหาความรัก

นิฌา...ในสายตาของผู้อื่น เธอช่างเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง สามารถบังคับบัญชาคนให้อยู่ในโอวาทในสายงานได้อย่างง่ายดาย
แต่ในจิตใจของเธอ...ช่างเหงาเศร้าเหลือคณา
โดดเดี่ยว...ไร้แม้แต่คนจะเข้าใจความรู้สึก ๆ ที่เก็บซ่อนไว้ในซอกหลืบของหัวใจ
มีหนังสือเป็นเพื่อนร่วมทางยามเหงา
มีอินเตอร์เน็ทเป็นเพื่อนร่วมทางยามเศร้า
มีเหล้าเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมยามมีปัญหา

แต่ด้วยบทบาทหน้าที่ที่เธอพร่ำสอนผู้อื่น
ทำให้เธอต้องทนกับมันให้ได้
เธอจึงเสมือนว่าเป็นผู้หญิงที่แกร่ง เป็นผู้นำ
แต่แท้ที่จริงเธอแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่โหยหาความรัก
โหยหาเพื่อนร่วมทาง
................................................

ตอนที่ ๙....
ทำตามบทบาทหน้าที่

เธอพยายามบอกเขาว่า “คุณต้องทำหน้าที่ของคุณในภาระที่คุณมี”
หากทุกคนละทิ้งหน้าที่หรือทำผิดหน้าที่
ความสับสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น
เพราะที่สับสนวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้
ก็เพราะคนไม่ทำตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง
โดยเธอไม่รู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นใครไม่ทำหน้าที่
หรือใครทำผิดบทบาทหน้าที่
อุบัติเหตุของชีวิตมันจึงเกิดขึ้น

แต่เธอก็เชื่ออยู่ประการหนึ่งว่า
เขาเป็นคงช่างฝัน ฉะนั้น อะไรก็ตามที่ผิดไปจากความฝันของเขา
มันอาจจะทำให้เขาทนกับมันไม่ได้
นอกจากความรับผิดชอบที่มีอยู่ในตัวเขาเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไร เธอเชื่อว่ามนุษย์ก็ยังปรารถนาที่จะสนองกิเลสตัณหาของตนเอง
กว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด
...................................

ตอนที่ ๑๐…
บทอำลา

เรายังต้องติดต่อกันอีกใช่ไหม หัวใจเธอร้องถาม
ใช่...เราต้องติดต่อกันอีก
บทกวีที่สวยงามเริ่มจะไม่สละสลวย
คำพูดบนจดหมายแผ่นใส ๆ บาง ๆ เริ่มจะมีการประชดประชัน
เสียงรับสายปลายทางเริ่มมีคนอื่นรับสายแทน
นิฌา...เธอเริ่มไม่สบายใจที่ความห่วงใยของเธอถูกตรวจสอบโดยผู้เกี่ยวกับเขา
เธอถามใจไปมาหลายครั้งว่า
ว่าถ้าเธอเลิกติดต่อสื่อสารกับเขา
เขาจะคิดน้อยใจไหม เพราะลำพังเขาก็มีสถานภาพทางสังคมด้อยกว่าเธออยู่แล้ว เขาคิดว่าเธอตีค่าความรู้สึกของเขาเช่นไร
เธอเฝ้าหาคำตอบบนความห่างไกล ที่มีงานเป็นตัวเชื่อม
เธออยากจะตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า
“ฉันจะทำอย่างดี...ฉันคิดถึงเขา...แต่ฉันไม่อาจจะทำตามใจที่ฉันคิดได้...”
เธอจึงตัดสินใจด้วยหัวใจที่อ่อนล้าว่า
“ยุติ...ให้กาลเวลาจะเป็นผู้ชี้ชะตา”..........
................................................................ 

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฝน..กับแสงแดดอุ่น ๆ


หลังจากฝนตกลงมามากมาย  เมื่อวานและวันนี้ 
แสงแดดอุ่น ๆ ก็เริ่มมีให้เห็นเป็นครั้งแรกที่ฟ้าปิดไปนานหลายชั่วโมง 
ด้วยใจที่หวั่นวิตก  ว่าจะมีข่าวน้ำท่วมหรือดินถล่มเกิดขึ้นที่ใดบ้างในเกาะเรานี้

"น้ำท่วมยังดีกว่าฝนแล้ง  น้องว่าน้ำแห้งฝนแล้งซะยังดีกว่า " ได้ยินเพลงนี้ลอยมาไกล ๆ

ใช่ไกล ๆ เพราะข่าวเพื่อนเราจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี  น้ำท่วมหนัก


วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ละเลยอะไรบางอย่าง



จะแย่งชิง อะไร  กันนักหนา
ถึงกับฆ่า กันตาย  สหายเอ๋ย
ประเทศก้าว ไปไม่  ถึงไหนเลย
เพราะละเลย อะไร ไปบางอย่าง



..................



วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

สวรรค์มีตา..ฟ้ากำหนด




อะไรกันนักหนา..นะชีวิต
ฟ้าลิขิตมาเป็น..อยู่เช่นนี้
ทำไปเถอะทำดี..และคิดดี
ต่อไปนี้มอบให้ฟ้า..สอดตาแล



เมื่อสวรรค์มีตา..ฟ้ากำหนด
ปฐมบท"โอชิน"ดูจะแย่
ลิ้นไม่ยาวเลียไม่เป็น..มองเห็นแพ
ถูกลอยแน่ออกทะเล..จบเห่เลย



นครโฮจิมนห์ - อุโมค์กู๋จี (3)

ไหว้งาม ๆ เจ้าเลขา (เจ้าฮะ)


เป็นการซื้อส่งท้ายเมืองดาลัดภาพวาดสวย ๆ เหมาไปเลย ภาพละ 20,000 ด่อง


เช้าวันที่ 1 กันยายน 2553 เหล่าเราก็เคลื่อนทัพออกจากดาลัด  ทิ้งร่อยรอยแห่งความทรงจำไว้ ณ เมืองสวยแห่งนี้  หลายคนที่มีความรักคงจะนึกในใจ  ว่าเราต้องกลับมาใหม่เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนโรแมนติก



ระหว่างทางกลับจากเมืองดาลัดสู่นครโฮจิมินห์  ผ่านน้ำตกอันสวยงามขนาดใหญ่ชื่อว่าน้ำตก prann   magour  แวะชักภาพตรงนี้นานพอสมควร  ก่อนมุ่งหน้ากลับโฮจิมินห์

มีรูปกับเขาด้วย อิอิ













ดอกกระดาษ

ระหว่างทางกลับจากต่อไปนี้จะเห็นไร่กาแฟ  ไร่ชา เรียงรายตามไหล่เขา  เมื่องนี้เป็นเมืองชากาแฟจริง ๆ










รับประทานอาหารเย็นบนเรือล่องแม่น้ำไซง่อน  สร้างความบรรเทิงกันพอสมควร  เพราะมีโคโยตี้มาสะบัดสะโพกให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หัวใจกระเด็นกระดอนออกมานอกเสื้อพอสมควร หุหุ

เอาเป็นว่าเหมือนล่องแม่น้ำเจ้าพระยาแถว ๆ โรงแรมริเวอร์ไซด์ประมาณนั้น





คืนนั้นมีคนไปตะลุยนครโฮจิมินห์ตรงตลาดเบนถันยามค่ำคืน  คงไม่ต่างจากถนนคนเดินทั่ว ๆ ไป





เราเข้าพักที่โรงแรม Sen Viet  Hotel  อยู่กลางใจเมือง  ว่าจะเดินไปชมทัศนียภาพ ถนนหนทางซะหน่อย  ไปได้หน่อยเดียวต้องยอมแพ้ถอยกลับ  เพราะสู้ไม่ไหวรถมอร์เตอร์ไซด์จะชนตาย  ไม่อยากเป็นศพอยู่เวียดนาม  รถยังกับฝูงแมลงเม่าออกจากรู  ขับกันแบบไม่สนใจใคร  แต่ก็แปลกไม่เห็นมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น



เช้าขึ้นมาเสร็จสรรพกับอาหารเช้าพร้อมสัมภาระ  เรามีเวลาอีกวันหนึ่งในเวียดนาม  ไปย้อนอดีตสงครามเวียดนามตอนสังครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุโมงค์กู๋จี




ลงอุโมงค์ (ก้นใครหว่า)

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวเวียดนามถึงเก่งเพราะเขามีแนวคิดต่อสู้กับสหรัฐที่มียุทโธปกรณ์มีแสนยานุภาพ  แบบนี้นี่เอง
ขุดรูลวงข้าศึกแบบแยบยล  ใช้ภูมิปัญญาต่อสู้กับอาวุธสมัยใหม่ที่มีแสนยานุภาพสูง  ทหารอเมริกันเอาชีวิตมาทิ้งไว้ืี่นี่มากมาย  นี่แหละสงคราม


มันคือระเบิด


เครื่องมือขุดอุโมงค์


กับดักทั้งนั้น







หลุมหลบภัยเดินทางไปมาหาสู่กันได้ใต้ดิน


ทำให้ย้อนนึกถึงสามจังหวัดภาคใต้บ้านเรา  กำลังใช้กลยุทธเดียวกับเวียดนามสมัยสงคราม  คือการลอบโจมตี ฝังกับระเบิด  สงครามเกิดที่ไหนที่นั่นมีการสูญเสีย


รูปปั้นจำลองทหารเวียดนาม


เห็ดข้างทางเดินเก็บมาฝาก


นอกจากสงครามประชาชนแล้ว  คนไทยยังมีสงครามในใจที่มีความเห็นแตกแยกแตกต่างกันไปคนละทิศคนละทางยากที่จะรวมกันเป็นหนึ่งได้  เพราะอะไรหรือ  คำตอบคือ อยู่ที่ผลประโยชน์ที่ใครจะได้รับมากกว่า  ข้ออ้างอื่น ๆ เป็นเพียงเหตุผลสนับสนุนในดูดีในสายตาสังคมชาวโลกเท่านั้น 

อธิบายด้วยภาพ


ดร.สุนันทา ฯ ลงนามก่อนอำลา

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ดาลัดเมืองในฝัน (2)


หน้าพระราชวังตากอากาศกษัตริย์เบ๋าได่  มีคนเวียดนามวางของขาย




เมืองดาลัดเป็นเมืองที่ห้อมล้อมดวยขุนเขาเขียวขจีเต็มไปด้วยป่าสน ทะเลสาบ พืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับจะออกสพรั่งทั้งหุบเขา  ความสวยงามและร่มเย็นของดาลัดที่ทำให้ครั้งหนึ่งฝรั่งเศสมีโครงการจะสถาปนาให้ดาลัดเป็นเมืองหลวงของสหพันธ์รับอินโดจีน ที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เมื่อราวปลายศตวรรษที่ 19 




บริเวณพระราชวัง






 ดาลัดได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลินิรันดร  และเป็นที่รู้จักในเรื่องของสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง  ที่ชวนให้นึกถึงประเทศฝรั่งเศส  ด้วยการออกแบบของบ้านพักตากอากาศที่น่าอบอุ่น  ที่มีขนาดต่างกันไป


พระราชวังตากอากาศกษัตริยเบ๋าได่


ก่อนเข้าไปชมภายในต้องสวมร้องเท้าผ้าแบบนี้ทับ
เวลาเดินระวังเหยียบปลายรองเท้าตนเอง อิอิ


ท่ามกลางแมกไม้และทิวเขา  เมืองดาลัดได้กลายเป็นสถานที่หลบร้อนของนักท่องเที่ยว และยังเป็นแหล่งเพาะปลูกดอกไม้นานาพันธุ์ในประเทศและต่างประเทศ   ที่แข่งกันออกดอกส่งกลิ่นหอมตลอดทั้งปี  เมืองดาลัดยังเป็นที่นิยมของคู่รักที่เพิ่งแต่งงานใหม่จะไปฮันนิมูนกันที่นี่




สภาพบ้านเรือนและตัวเมืองดาลัด เป็นสิ่งปลูกสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก  มีปล่องไฟทั้งจริงและปลอม


รูปปั้นกษัตริย์เบ๋าได่

พระราชวังกษัตริย์เป่าได่  ที่สร้างขึ้นบนเนินเขา  ห้องต่าง ๆ ที่่รักษาไว้  และบรรยากาศรอบ ๆ ที่สวยงามเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว


ห้องรับแขก





ประวัติกษัตริย์เบ๋าได่


ทางออกมีของที่ระลึกขายช่างน่าสนใจดีแท้


ไม้แกะสลัก


แจกันสัญลักษณ์สาวเวียดนามงานปั้นฝีมือ


งานไม้ละลานตา


งานปักปราณีตสวยงาม แต่สู้ราคาไม่ไหว



ถ่ายรูปครั้งละ 10,000 ด่อง



ต่อไปบ้านพิศวง Crezy House  มันน่าพิศวงจริง ๆ ด้วย ทำเลียนแบบให้กลมกลืนไปกับต้นไม้รูปร่างคล้าย ๆ ปราสาทในเทพนิยาย  แต่ภายในเป็นห้อง ๆ จัดไว้สวยงาม เช่นห้องประชุม ห้องนอน ห้องอาหาร ฯลฯ  มีบรรยากาศทึม ๆ แสงสลัว ๆ น่าประหวั่นพรั่นพรึมอยูไม่น้อยถ้าให้เข้ามาคนเดียว














คุณอ๋อยคารวะเจ้าบ้าน

จากนั้นก็ไปนั่งเคเบิ้ลคาร์ทีสถานีกระเช้ารถไฟฟ้า ชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองดาลัดได้ทั้งเมืองที่สามารถมองเห็นทิวสนตลอดเส้นทาง แถมตะโกนลงไปทักทายชาวไร่ข้างล่างที่ทำไร่อยู่ตามไหล่เขาได้ด้วย








เห็นเมืองลาดัดทั้งเมือง


ถ่ายจากบนกระเช้า


ลงจากกระเช้าขึ้นไปนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดตรึกลาม  สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ เป็นวัดพุทธนิกายเซนตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้ ๆ สถานีรถกระเช้านั่นเอง


ศิษย์วัดเตรียมของไหว้

จากนั้นก็ไปชมหุบเขาแห่งความรัก  สัมผัสบรรยากาศที่แสนโรแมนติก  โอบล้อมไปด้วยขุนเขา แมกไม้นานาพันธุ์ และทะเลสาบ  ซึ่งอดีตเคยเป็นป่าที่พระเจ้าเป๋าได่ เคยทรงใช้เป็นที่ล่าสัตว์  มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่สื่อถึงความรักต่าง ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมากมาย ณ เนินเขาแห่งนี้



ยืมภาพน้องเมฆ



ฮา ฮา เข้าทางโจรเลยจินนี่



ณ หุบเขาแห่งความรัก..ท่าทางมันจะรักผิดคู่อยู่นา

ช่วงนี้แบตหมดเลยไม่ได้ถ่ายรูปเอง  ฝนตกปรอย ๆ พอเป็นละออง จึงยืมรูปคนอื่นมาขอบคุณเจ้าของรูปด้วยเจ้าค่ะ  



จากนั้นก็ไม่ช้อบปิ้งตามอัธยาศัย  เขาเรียกว่าไนท์มาเก็ต  แต่ตอนนี้ยังไม่ไนท์  ฮาฮา  ซื้ออะไรดีล่ะเรา  เดินดูสินค้าแปลก ๆ เดินทะลุไปสองอาคารมีแต่เสื้อผ้ากับรองเท้า  เดินลงมาริมทางเดินแม่ค้าชาวพื้นเมืองนั่งขายขนมชนิดหนึ่งคล้าย ๆ ขนมเบี้อง ใช้ไข่ไก่ทำเป็นแผ่นบาง ๆ ในกะทะแบน ๆ ใส่ไส้เป็นผักคล้ายต้นหอม  เมื่อสุกแล้วพับเหมือนขนมเคร๊บกว่าจะได้กินเจรจากันตั้งนานสองนานว่าราคาเท่าไร  สรุปแล้วให้ไป 10,000  ด่อง  เดินกินมาเรื่อย ๆ 





ตลาดสดดี ๆ นี่เอง ได้ซื้อเครื่องคิดเลขมาหนึ่งอัน ไว้จิ้มว่าราคาที่เขาบอกเมื่อเทียบกับเงินไทยเท่าไรกัน 
( 1 บาท = 570  ด่อง )