แค่บอกว่าคิดถึงก็ซึ้งแล้ว ดวงดอกแก้วกลีบเฉาคลายเศร้าหมอง ดุจน้ำทิพย์ฉ่ำใสหัวใจพอง สิ่งที่พร่องเต็มปริ่มอิ่มเอมใจ เคยหวลไห้โหยหาค่าของรัก เพิ่งประจักษ์ว่ารักนั้นมันอยู่ใกล้ อยู่ในห้วงความคิดถึงบึ้งหทัย เป็นสายใยร้อยถักรักผูกพัน รักใช่คู่...ชู้ชื่น...อาจขื่นขม ซ่อนอารมณ์ ไหวหวามในความฝัน รักที่แท้คือรักมิตรนิจนิรันดร์ รักคงมั่นรักอยู่มิรู้จาง หากวันนี้เราจับจองครองเป็นเจ้า คงเหงาเศร้าร้าวรักหรือหักห่าง ความใกล้อาจให้แตกต้องแยกทาง ให้รักร้างแรมราหรือลาไกล จงรักษามิตรภาพอันซาบซึ้ง ความคะนึงคิดถึงกันนั้นยิ่งใหญ่ เป็นพลังโอบกอดตลอดไป สองดวงใจผูกพันจนวันตาย |
บ้านโอชิน..ถิ่นอันดามัน
ไว้หลับฝันพักพิงทิ้งทุกอย่าง.. ไว้สรรค์สร้างมิตรภาพอันซาบซึ้ง.. ไว้หลบร้อนหลบหนาวคราวคำนึง.. เป็นที่พึ่งแห่งใจใครหลายคน..
วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554
แค่คิดถึงก็ซึ้งแล้ว
บันทึกของนิฌา
ตอนที่ ๑.... เดินตามฝัน เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา นิฌา..ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นเธออยู่ในวัยรุ่นเป็นผู้หญิงช่างฝัน ฝันเห็นแต่สิ่งที่สวยงาม มองโลกในแง่ดี ทุกคนที่อยู่รอบข้างเธอจะมีความสุขไปกับความเป็นคนช่างฝันของเธอ เธอมีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเข้าใจความรู้สึกของเธอ และผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี เขาเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอโดยไม่ต้องบอกกล่าว ทุกอารมณ์ความรู้สึก เขาเป็นนักสังเกตุและจดจำรายละเอียด จนเธอเองคิดไม่ถึง เขาเหมือนสุภาพบุรุษในใจเธอ เธอเก็บเขาไว้ในใจตั้งแต่นั้นมา... วันเวลาและระยะทาง ต่างคนต่างไปทำหน้าที่มนุษย์ตามเส้นทางที่ตนเองเลือกเดิน ทราบว่าเขาไปมีครอบครอบครัว ส่วนเธอไปเป็นครูสอนเด็กตามอุดมการณ์เดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเธอ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลูกศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านการปั้นด้วยมือเธอ เธอเก็บเขาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจและเดินตามความฝันของเธอต่อไป เมื่อมีปัญหาและอุปสรรคเธอจะนึกถึงเขา “ถ้าเขาอยู่ข้างกายฉันในตอนนี้คงมีเพื่อนคอยปลอบใจและเป็นคู่คิดในการแก้ปัญหา” แล้วเก็บเขาไว้ ณ จุดเดิม... ...................................... ตอนที่ ๒.. จุดเปลี่ยน... สิบเจ็ดปีผ่านไปบนเส้นทางเดินสายการสร้างคนให้เป็นพลเมืองของชาติของเธอ เธอเบนเข็มชีวิตอีกครั้งแต่ยังไม่หนีเส้นทางการศึกษา เธอก้าวเข้ามาสร้างครูเพื่อไปสร้างเด็ก.... เนื่องจากเธอทนเห็นสภาพการบริหารที่ไม่เอาไหนของหลาย ๆ ฝ่าย แม้เธอรู้ตัวดีว่าเธอคงช่วยอะไรได้ไม่มากกับสังคมนี้ แต่ก็ยังดีที่เธอเริ่มต้นที่ตัวเอง “start by starting” เธอก้าวเข้ามาในสายบริหารการศึกษาเพื่อผลักดันในสิ่งที่เธอฝันให้เป็นจริง ด้วยภาระและหน้าที่เธอก้าวไปอยู่ในเมืองใหญ่อย่างไร้ญาติขาดมิตร แต่เธอก็ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าและท้าทาย และด้วยเธอเป็นคนมี อัธยาศัยไมตรี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เธอจึงมีเพื่อน มีญาติ มีมิตรใหม่ เดินไปไหนมาไหนมีแต่คนทักทายด้วยรอยยิ้ม .............................................. ตอนที่ ๓.. ตามหา วันหนึ่งเธอกำลังหาค้นหาข้อมูลในการทำวิจัยให้องค์กรที่เธออยู่ เธอก็เหมือนคนทั่วไปในยุคโลกไร้พรมแดน วิธีการสืบค้นข้อมูลที่เร็วที่สุดคือการค้นหาทางอินเตอร์เน็ท แล้วเธอก็เห็นชื่อเธอที่ถูกประกาศตามหาโดยคนที่เธอเก็บเขาไว้ในซอกหลืบส่วนลึกของหัวใจ และลืมนำเขาออกมานึกถึงนานแล้ว จากเว็บไซด์หนึ่งโดยบังเอิญ ตามหาตั้งแต่ห้าปีที่ผ่านมา...โดยเธอไม่รู้เลยว่ามาคนติดตามหาอยู่ เธอก็เริ่มติดตามทางอินเตอร์เน็ทว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ แล้วใยจึงตามหาเธอ มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเขา คำถามอีกมากมายประดังเข้ามาให้วนเวียนอยู่ในสมอง เธอจึงโยนกระทู้ไปในเว็บไซด์นั้นทันที เผื่อว่าเขาผ่านเข้ามาเจอ และได้ผลดังที่เธอคิดเพราะเขาเจอจริง ๆ เมื่อกระทู้นั้นถูกตอบกลับโดยเข้าใจกันแค่คนสองคนเท่านั้น ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน อะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้างตลอดเวลายี่สิบสามปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าฉงนเขารู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ แต่ทำไมเขาไม่ติดต่อกลับ เขาแค่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ............................................. ตอนที่ ๔... ช่องว่างทางสังคม... เธอเดินอยู่บนถนนแถวหน้า ผู้คนยอมรับนับหน้าถือตา แต่เขา...เป็นแค่นักเขียนอิสระ มันเหมือนเส้นแบ่งบาง ๆ ที่เขาเป็นฝ่ายขีดมันขึ้นมาส่วนเธอไม่เคยแม้แต่จะคิดแบ่งแยกชนชั้นของคนในสังคม ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ความคิดของคนตากหากที่แบ่งแยกกันเอง เธออยากจะบอกเขาว่า “สำหรับฉันแล้ว...คุณคือสุภาพบุรุษในใจฉันตลอดมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน...” เขาใช้ชีวิตแบบศิลปินแบบไหนเขาก็เป็นแบบนั้นมาตลอด เธอรู้ว่าความคิดของเขาใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เธอพยายามจะเชื่อมโยงหรือสร้างภาพให้เขาเดินอยู่บนถนนสายเดียวกับเธอ เพียงเพื่อหวังว่าความฝันในอดีตจะหวนกลับมา.... โดยการจัดฉากภารกิจอันสมจริงขึ้นมาให้เขาทำ ด้วยการให้เขาเป็นวิทยากรอบรมให้ครูที่เธอดูและอยู่ ในความรู้ความสามารถพิเศษของเขา และเขาก็ทำอย่างทุ่มเทจนเป็นที่ยอมรับของผู้คนในแวดวงของเธอ เขาก็รู้ว่าเธอกำลังจะจับเขาแสดงละครบทใหม่ที่เขาไม่เคยทำ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนช่างฝันและมีความสามารถพิเศษอยู่ในตัว เขาจึงกล้ารับคำท้า อย่างไม่แน่ใจ แต่ผลออกมาดีเกินคาด เธอเฝ้ามองการทำงานของเขา และแน่ใจว่าเขาคือผู้จุดประกายความฝันให้เธอก้าวต่อไปอีกเช่นเคย เขามีความคิดเป็นปัจเจกสูง เป็นคนฉลาดที่จะคิด จึงต้องตกเป็นทาสของความคิดตลอดมา เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนความคิดของเขานี้ยากยิ่ง เธอจึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนเขาอีกต่อไป แต่จะเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ......................................... ตอนที่ ๕... ภาพฝันวันวาน.... ภาพต่าง ๆ มันแจ่มชัดขึ้นมาที่ละภาพจนต้องหวนคำนึง เมื่อสิ่งที่เธอเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจในวันนั้นมันถูกหยิบขึ้นมาดูใหม่ นิฌา เธอเคยฝันว่าเขาคือเพื่อนร่วมทางของเธอในทุกขณะของชีวิต ยามเธอเหงามีคนคอยเป่าขลุ่ย ดีดพิณ ร้องเพลงขับกล่อมให้เธอฟัง ยามเธอมีปัญหามีคนคอยแสดงความคิดเห็นหาทางออกให้โดยไม่ครอบงำทางความคิดแก่เธอ ยามเธอเศร้ามีคนคอยโอบกอดปลอบประโลมและเช็ดน้ำตาให้ ยามเธอมีความสุขมีคนคอยส่งยิ้มให้เธอ .............................. ตอนที่ ๖... ชีวิตต้องดำเนินต่อไป... วันเวลาที่ผ่านมา...ต่างคนต่างไปพบบทเรียนที่ตนเองแสวงหากันมาเพียงพอแล้ว ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อถูกลงโทษ แต่เกิดมาเพื่อได้รับบทเรียน เธอไม่ต้องการจะก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตของเขา ไม่ต่างจากคนแปลกหน้า ทั้ง ๆ ที่ใจเธอเมื่อแรกเห็น...อยากเข้าไปสวมกอดให้หายคิดถึง วันที่พบกันอีกครั้ง... เขาก้าวแผ่นประตูขาออกของสนามบิน เธอไปรอรับเขาด้วยใจกระวนกระวาย เพื่อจะเห็นหน้าเขาว่าเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แววตาช่างฝันยังคงมีให้เห็นหรือไม่ ภาพของชายกลางคนตรงหน้าเธอ เหมือนคนตรากตรำงานหนักมาทั้งชีวิต รอยยิ้มยังเหมือนเดิม บนแววตาที่ไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง หัวใจเธอแทบหลุดลอย... เธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำถามว่า “คุณไปทำอะไรมา” เพราะกลัวว่าไปตอกย้ำความรู้สึกที่เป็นปมด้อยของเขา เธอต้องระวังคำพูดทุก ๆ คำที่กล่าวออกไป เธออยากให้เวลาทั้งหมดเป็นของเธอ..แต่เธอทำไม่ได้ เพราะเธอไม่รู้ว่าเบื้องหลังของเขาที่เก็บซ่อนไว้นั้น...มีเธอหรือไม่ เธอจึงต้อนรับเขาเหมือนแขกของเธอคนหนึ่ง ให้เขาพักโรงแรมชั้นหนึ่งของเมืองนั้น บริการนำเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยว ตลอดเวลาที่เขาปฏิบัติภารกิจที่เธอจัดฉากให้เขาทำ เขาก็ไม่ได้เอื้อยเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจให้เธอฟัง นอกจาก...ทิ้งคำสุดท้ายไว้ “ตามหามาห้าปี กว่าจะเจอ” แล้วเขาลาลับผ่านประตูทางขึ้นเครื่องบินไป ............................................... ตอนที่ ๗... เธอผู้ไม่เคยเรียกร้อง สิ่งที่เธอคิดคือใช่ “มนุษย์เพศผู้ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวได้” เขามีภาระจริง ๆ หลังจากทราบว่าครอบครัวเขาต้องอับปางลงครั้งที่หนึ่ง เขายังที่จะรับภาระของผู้อื่นเพื่อให้ตนเองมีเพื่อนมีครอบครัวในครั้งที่สอง เขาคงเหนื่อยน่าดู แต่เธอก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ เธอไม่ต้องการเห็นความแตกร้าวในครอบครัวใคร ทุกคนก็ต้องการความรักความอบอุ่น ต้องการเพื่อนคู่คิด แต่ถ้าให้พรากของผู้อื่นมาเธอคงทำไม่ได้ และไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอ เขาเองก็คงเห็นความเหมาะสมในสังคมเพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้น เขาจึงต้องแสดงความเป็นตัวตนเหนือเหตุผล ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้อยู่ว่าเวลาที่เหลืออยู่เขาควรจะชดเชยให้เธอเพียงผู้เดียว เขาเป็นผู้ทำเวลาทั้งหมดของเธอหายไป เธอผู้ไม่เคยเรียกร้อง เธอผู้ไม่เคยทวงสิทธิ เธอผู้ไม่เคยใช่สิทธิ เธอคือผู้สละสิทธิเสมอมา ............................... ตอนที่ ๘... โหยหาความรัก นิฌา...ในสายตาของผู้อื่น เธอช่างเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง สามารถบังคับบัญชาคนให้อยู่ในโอวาทในสายงานได้อย่างง่ายดาย แต่ในจิตใจของเธอ...ช่างเหงาเศร้าเหลือคณา โดดเดี่ยว...ไร้แม้แต่คนจะเข้าใจความรู้สึก ๆ ที่เก็บซ่อนไว้ในซอกหลืบของหัวใจ มีหนังสือเป็นเพื่อนร่วมทางยามเหงา มีอินเตอร์เน็ทเป็นเพื่อนร่วมทางยามเศร้า มีเหล้าเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมยามมีปัญหา แต่ด้วยบทบาทหน้าที่ที่เธอพร่ำสอนผู้อื่น ทำให้เธอต้องทนกับมันให้ได้ เธอจึงเสมือนว่าเป็นผู้หญิงที่แกร่ง เป็นผู้นำ แต่แท้ที่จริงเธอแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่โหยหาความรัก โหยหาเพื่อนร่วมทาง ................................................ ตอนที่ ๙.... ทำตามบทบาทหน้าที่ เธอพยายามบอกเขาว่า “คุณต้องทำหน้าที่ของคุณในภาระที่คุณมี” หากทุกคนละทิ้งหน้าที่หรือทำผิดหน้าที่ ความสับสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น เพราะที่สับสนวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะคนไม่ทำตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง โดยเธอไม่รู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นใครไม่ทำหน้าที่ หรือใครทำผิดบทบาทหน้าที่ อุบัติเหตุของชีวิตมันจึงเกิดขึ้น แต่เธอก็เชื่ออยู่ประการหนึ่งว่า เขาเป็นคงช่างฝัน ฉะนั้น อะไรก็ตามที่ผิดไปจากความฝันของเขา มันอาจจะทำให้เขาทนกับมันไม่ได้ นอกจากความรับผิดชอบที่มีอยู่ในตัวเขาเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร เธอเชื่อว่ามนุษย์ก็ยังปรารถนาที่จะสนองกิเลสตัณหาของตนเอง กว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ................................... ตอนที่ ๑๐… บทอำลา เรายังต้องติดต่อกันอีกใช่ไหม หัวใจเธอร้องถาม ใช่...เราต้องติดต่อกันอีก บทกวีที่สวยงามเริ่มจะไม่สละสลวย คำพูดบนจดหมายแผ่นใส ๆ บาง ๆ เริ่มจะมีการประชดประชัน เสียงรับสายปลายทางเริ่มมีคนอื่นรับสายแทน นิฌา...เธอเริ่มไม่สบายใจที่ความห่วงใยของเธอถูกตรวจสอบโดยผู้เกี่ยวกับเขา เธอถามใจไปมาหลายครั้งว่า ว่าถ้าเธอเลิกติดต่อสื่อสารกับเขา เขาจะคิดน้อยใจไหม เพราะลำพังเขาก็มีสถานภาพทางสังคมด้อยกว่าเธออยู่แล้ว เขาคิดว่าเธอตีค่าความรู้สึกของเขาเช่นไร เธอเฝ้าหาคำตอบบนความห่างไกล ที่มีงานเป็นตัวเชื่อม เธออยากจะตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า “ฉันจะทำอย่างดี...ฉันคิดถึงเขา...แต่ฉันไม่อาจจะทำตามใจที่ฉันคิดได้...” เธอจึงตัดสินใจด้วยหัวใจที่อ่อนล้าว่า “ยุติ...ให้กาลเวลาจะเป็นผู้ชี้ชะตา”.......... ................................................................ |
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ฝน..กับแสงแดดอุ่น ๆ
หลังจากฝนตกลงมามากมาย เมื่อวานและวันนี้
แสงแดดอุ่น ๆ ก็เริ่มมีให้เห็นเป็นครั้งแรกที่ฟ้าปิดไปนานหลายชั่วโมง
ด้วยใจที่หวั่นวิตก ว่าจะมีข่าวน้ำท่วมหรือดินถล่มเกิดขึ้นที่ใดบ้างในเกาะเรานี้
"น้ำท่วมยังดีกว่าฝนแล้ง น้องว่าน้ำแห้งฝนแล้งซะยังดีกว่า " ได้ยินเพลงนี้ลอยมาไกล ๆ
ใช่ไกล ๆ เพราะข่าวเพื่อนเราจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี น้ำท่วมหนัก
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
ละเลยอะไรบางอย่าง
จะแย่งชิง อะไร กันนักหนา
ถึงกับฆ่า กันตาย สหายเอ๋ย
ประเทศก้าว ไปไม่ ถึงไหนเลย
เพราะละเลย อะไร ไปบางอย่าง
..................
วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553
สวรรค์มีตา..ฟ้ากำหนด
อะไรกันนักหนา..นะชีวิต
ฟ้าลิขิตมาเป็น..อยู่เช่นนี้
ทำไปเถอะทำดี..และคิดดี
ต่อไปนี้มอบให้ฟ้า..สอดตาแล
เมื่อสวรรค์มีตา..ฟ้ากำหนด
ปฐมบท"โอชิน"ดูจะแย่
ลิ้นไม่ยาวเลียไม่เป็น..มองเห็นแพ
ถูกลอยแน่ออกทะเล..จบเห่เลย
นครโฮจิมนห์ - อุโมค์กู๋จี (3)
ไหว้งาม ๆ เจ้าเลขา (เจ้าฮะ)
เป็นการซื้อส่งท้ายเมืองดาลัดภาพวาดสวย ๆ เหมาไปเลย ภาพละ 20,000 ด่อง
ระหว่างทางกลับจากเมืองดาลัดสู่นครโฮจิมินห์ ผ่านน้ำตกอันสวยงามขนาดใหญ่ชื่อว่าน้ำตก prann magour แวะชักภาพตรงนี้นานพอสมควร ก่อนมุ่งหน้ากลับโฮจิมินห์
มีรูปกับเขาด้วย อิอิ
ดอกกระดาษ
ระหว่างทางกลับจากต่อไปนี้จะเห็นไร่กาแฟ ไร่ชา เรียงรายตามไหล่เขา เมื่องนี้เป็นเมืองชากาแฟจริง ๆ
รับประทานอาหารเย็นบนเรือล่องแม่น้ำไซง่อน สร้างความบรรเทิงกันพอสมควร เพราะมีโคโยตี้มาสะบัดสะโพกให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หัวใจกระเด็นกระดอนออกมานอกเสื้อพอสมควร หุหุ
เอาเป็นว่าเหมือนล่องแม่น้ำเจ้าพระยาแถว ๆ โรงแรมริเวอร์ไซด์ประมาณนั้น
คืนนั้นมีคนไปตะลุยนครโฮจิมินห์ตรงตลาดเบนถันยามค่ำคืน คงไม่ต่างจากถนนคนเดินทั่ว ๆ ไป
เราเข้าพักที่โรงแรม Sen Viet Hotel อยู่กลางใจเมือง ว่าจะเดินไปชมทัศนียภาพ ถนนหนทางซะหน่อย ไปได้หน่อยเดียวต้องยอมแพ้ถอยกลับ เพราะสู้ไม่ไหวรถมอร์เตอร์ไซด์จะชนตาย ไม่อยากเป็นศพอยู่เวียดนาม รถยังกับฝูงแมลงเม่าออกจากรู ขับกันแบบไม่สนใจใคร แต่ก็แปลกไม่เห็นมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
เช้าขึ้นมาเสร็จสรรพกับอาหารเช้าพร้อมสัมภาระ เรามีเวลาอีกวันหนึ่งในเวียดนาม ไปย้อนอดีตสงครามเวียดนามตอนสังครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุโมงค์กู๋จี
ลงอุโมงค์ (ก้นใครหว่า)
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวเวียดนามถึงเก่งเพราะเขามีแนวคิดต่อสู้กับสหรัฐที่มียุทโธปกรณ์มีแสนยานุภาพ แบบนี้นี่เอง
ขุดรูลวงข้าศึกแบบแยบยล ใช้ภูมิปัญญาต่อสู้กับอาวุธสมัยใหม่ที่มีแสนยานุภาพสูง ทหารอเมริกันเอาชีวิตมาทิ้งไว้ืี่นี่มากมาย นี่แหละสงคราม
มันคือระเบิด
เครื่องมือขุดอุโมงค์
กับดักทั้งนั้น
หลุมหลบภัยเดินทางไปมาหาสู่กันได้ใต้ดิน
รูปปั้นจำลองทหารเวียดนาม
เห็ดข้างทางเดินเก็บมาฝาก
อธิบายด้วยภาพ
ดร.สุนันทา ฯ ลงนามก่อนอำลา
วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553
ดาลัดเมืองในฝัน (2)
หน้าพระราชวังตากอากาศกษัตริย์เบ๋าได่ มีคนเวียดนามวางของขาย
เมืองดาลัดเป็นเมืองที่ห้อมล้อมดวยขุนเขาเขียวขจีเต็มไปด้วยป่าสน ทะเลสาบ พืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับจะออกสพรั่งทั้งหุบเขา ความสวยงามและร่มเย็นของดาลัดที่ทำให้ครั้งหนึ่งฝรั่งเศสมีโครงการจะสถาปนาให้ดาลัดเป็นเมืองหลวงของสหพันธ์รับอินโดจีน ที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เมื่อราวปลายศตวรรษที่ 19
บริเวณพระราชวัง
ดาลัดได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลินิรันดร และเป็นที่รู้จักในเรื่องของสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง ที่ชวนให้นึกถึงประเทศฝรั่งเศส ด้วยการออกแบบของบ้านพักตากอากาศที่น่าอบอุ่น ที่มีขนาดต่างกันไป
พระราชวังตากอากาศกษัตริยเบ๋าได่
ก่อนเข้าไปชมภายในต้องสวมร้องเท้าผ้าแบบนี้ทับ
เวลาเดินระวังเหยียบปลายรองเท้าตนเอง อิอิ
ก่อนเข้าไปชมภายในต้องสวมร้องเท้าผ้าแบบนี้ทับ
เวลาเดินระวังเหยียบปลายรองเท้าตนเอง อิอิ
ท่ามกลางแมกไม้และทิวเขา เมืองดาลัดได้กลายเป็นสถานที่หลบร้อนของนักท่องเที่ยว และยังเป็นแหล่งเพาะปลูกดอกไม้นานาพันธุ์ในประเทศและต่างประเทศ ที่แข่งกันออกดอกส่งกลิ่นหอมตลอดทั้งปี เมืองดาลัดยังเป็นที่นิยมของคู่รักที่เพิ่งแต่งงานใหม่จะไปฮันนิมูนกันที่นี่
สภาพบ้านเรือนและตัวเมืองดาลัด เป็นสิ่งปลูกสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีปล่องไฟทั้งจริงและปลอม
รูปปั้นกษัตริย์เบ๋าได่
พระราชวังกษัตริย์เป่าได่ ที่สร้างขึ้นบนเนินเขา ห้องต่าง ๆ ที่่รักษาไว้ และบรรยากาศรอบ ๆ ที่สวยงามเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
ห้องรับแขก
ทางออกมีของที่ระลึกขายช่างน่าสนใจดีแท้
ไม้แกะสลัก
แจกันสัญลักษณ์สาวเวียดนามงานปั้นฝีมือ
งานไม้ละลานตา
งานปักปราณีตสวยงาม แต่สู้ราคาไม่ไหว
ถ่ายรูปครั้งละ 10,000 ด่อง
ต่อไปบ้านพิศวง Crezy House มันน่าพิศวงจริง ๆ ด้วย ทำเลียนแบบให้กลมกลืนไปกับต้นไม้รูปร่างคล้าย ๆ ปราสาทในเทพนิยาย แต่ภายในเป็นห้อง ๆ จัดไว้สวยงาม เช่นห้องประชุม ห้องนอน ห้องอาหาร ฯลฯ มีบรรยากาศทึม ๆ แสงสลัว ๆ น่าประหวั่นพรั่นพรึมอยูไม่น้อยถ้าให้เข้ามาคนเดียว
คุณอ๋อยคารวะเจ้าบ้าน
จากนั้นก็ไปนั่งเคเบิ้ลคาร์ทีสถานีกระเช้ารถไฟฟ้า ชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองดาลัดได้ทั้งเมืองที่สามารถมองเห็นทิวสนตลอดเส้นทาง แถมตะโกนลงไปทักทายชาวไร่ข้างล่างที่ทำไร่อยู่ตามไหล่เขาได้ด้วย
เห็นเมืองลาดัดทั้งเมือง
ถ่ายจากบนกระเช้า
ลงจากกระเช้าขึ้นไปนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดตรึกลาม สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ เป็นวัดพุทธนิกายเซนตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้ ๆ สถานีรถกระเช้านั่นเอง
ศิษย์วัดเตรียมของไหว้
จากนั้นก็ไปชมหุบเขาแห่งความรัก สัมผัสบรรยากาศที่แสนโรแมนติก โอบล้อมไปด้วยขุนเขา แมกไม้นานาพันธุ์ และทะเลสาบ ซึ่งอดีตเคยเป็นป่าที่พระเจ้าเป๋าได่ เคยทรงใช้เป็นที่ล่าสัตว์ มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่สื่อถึงความรักต่าง ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมากมาย ณ เนินเขาแห่งนี้
ยืมภาพน้องเมฆ
ฮา ฮา เข้าทางโจรเลยจินนี่
ณ หุบเขาแห่งความรัก..ท่าทางมันจะรักผิดคู่อยู่นา
ช่วงนี้แบตหมดเลยไม่ได้ถ่ายรูปเอง ฝนตกปรอย ๆ พอเป็นละออง จึงยืมรูปคนอื่นมาขอบคุณเจ้าของรูปด้วยเจ้าค่ะ
จากนั้นก็ไม่ช้อบปิ้งตามอัธยาศัย เขาเรียกว่าไนท์มาเก็ต แต่ตอนนี้ยังไม่ไนท์ ฮาฮา ซื้ออะไรดีล่ะเรา เดินดูสินค้าแปลก ๆ เดินทะลุไปสองอาคารมีแต่เสื้อผ้ากับรองเท้า เดินลงมาริมทางเดินแม่ค้าชาวพื้นเมืองนั่งขายขนมชนิดหนึ่งคล้าย ๆ ขนมเบี้อง ใช้ไข่ไก่ทำเป็นแผ่นบาง ๆ ในกะทะแบน ๆ ใส่ไส้เป็นผักคล้ายต้นหอม เมื่อสุกแล้วพับเหมือนขนมเคร๊บกว่าจะได้กินเจรจากันตั้งนานสองนานว่าราคาเท่าไร สรุปแล้วให้ไป 10,000 ด่อง เดินกินมาเรื่อย ๆ
ตลาดสดดี ๆ นี่เอง ได้ซื้อเครื่องคิดเลขมาหนึ่งอัน ไว้จิ้มว่าราคาที่เขาบอกเมื่อเทียบกับเงินไทยเท่าไรกัน
( 1 บาท = 570 ด่อง )
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)