วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

นครโฮจิมนห์ - อุโมค์กู๋จี (3)

ไหว้งาม ๆ เจ้าเลขา (เจ้าฮะ)


เป็นการซื้อส่งท้ายเมืองดาลัดภาพวาดสวย ๆ เหมาไปเลย ภาพละ 20,000 ด่อง


เช้าวันที่ 1 กันยายน 2553 เหล่าเราก็เคลื่อนทัพออกจากดาลัด  ทิ้งร่อยรอยแห่งความทรงจำไว้ ณ เมืองสวยแห่งนี้  หลายคนที่มีความรักคงจะนึกในใจ  ว่าเราต้องกลับมาใหม่เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนโรแมนติก



ระหว่างทางกลับจากเมืองดาลัดสู่นครโฮจิมินห์  ผ่านน้ำตกอันสวยงามขนาดใหญ่ชื่อว่าน้ำตก prann   magour  แวะชักภาพตรงนี้นานพอสมควร  ก่อนมุ่งหน้ากลับโฮจิมินห์

มีรูปกับเขาด้วย อิอิ













ดอกกระดาษ

ระหว่างทางกลับจากต่อไปนี้จะเห็นไร่กาแฟ  ไร่ชา เรียงรายตามไหล่เขา  เมื่องนี้เป็นเมืองชากาแฟจริง ๆ










รับประทานอาหารเย็นบนเรือล่องแม่น้ำไซง่อน  สร้างความบรรเทิงกันพอสมควร  เพราะมีโคโยตี้มาสะบัดสะโพกให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หัวใจกระเด็นกระดอนออกมานอกเสื้อพอสมควร หุหุ

เอาเป็นว่าเหมือนล่องแม่น้ำเจ้าพระยาแถว ๆ โรงแรมริเวอร์ไซด์ประมาณนั้น





คืนนั้นมีคนไปตะลุยนครโฮจิมินห์ตรงตลาดเบนถันยามค่ำคืน  คงไม่ต่างจากถนนคนเดินทั่ว ๆ ไป





เราเข้าพักที่โรงแรม Sen Viet  Hotel  อยู่กลางใจเมือง  ว่าจะเดินไปชมทัศนียภาพ ถนนหนทางซะหน่อย  ไปได้หน่อยเดียวต้องยอมแพ้ถอยกลับ  เพราะสู้ไม่ไหวรถมอร์เตอร์ไซด์จะชนตาย  ไม่อยากเป็นศพอยู่เวียดนาม  รถยังกับฝูงแมลงเม่าออกจากรู  ขับกันแบบไม่สนใจใคร  แต่ก็แปลกไม่เห็นมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น



เช้าขึ้นมาเสร็จสรรพกับอาหารเช้าพร้อมสัมภาระ  เรามีเวลาอีกวันหนึ่งในเวียดนาม  ไปย้อนอดีตสงครามเวียดนามตอนสังครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุโมงค์กู๋จี




ลงอุโมงค์ (ก้นใครหว่า)

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวเวียดนามถึงเก่งเพราะเขามีแนวคิดต่อสู้กับสหรัฐที่มียุทโธปกรณ์มีแสนยานุภาพ  แบบนี้นี่เอง
ขุดรูลวงข้าศึกแบบแยบยล  ใช้ภูมิปัญญาต่อสู้กับอาวุธสมัยใหม่ที่มีแสนยานุภาพสูง  ทหารอเมริกันเอาชีวิตมาทิ้งไว้ืี่นี่มากมาย  นี่แหละสงคราม


มันคือระเบิด


เครื่องมือขุดอุโมงค์


กับดักทั้งนั้น







หลุมหลบภัยเดินทางไปมาหาสู่กันได้ใต้ดิน


ทำให้ย้อนนึกถึงสามจังหวัดภาคใต้บ้านเรา  กำลังใช้กลยุทธเดียวกับเวียดนามสมัยสงคราม  คือการลอบโจมตี ฝังกับระเบิด  สงครามเกิดที่ไหนที่นั่นมีการสูญเสีย


รูปปั้นจำลองทหารเวียดนาม


เห็ดข้างทางเดินเก็บมาฝาก


นอกจากสงครามประชาชนแล้ว  คนไทยยังมีสงครามในใจที่มีความเห็นแตกแยกแตกต่างกันไปคนละทิศคนละทางยากที่จะรวมกันเป็นหนึ่งได้  เพราะอะไรหรือ  คำตอบคือ อยู่ที่ผลประโยชน์ที่ใครจะได้รับมากกว่า  ข้ออ้างอื่น ๆ เป็นเพียงเหตุผลสนับสนุนในดูดีในสายตาสังคมชาวโลกเท่านั้น 

อธิบายด้วยภาพ


ดร.สุนันทา ฯ ลงนามก่อนอำลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น