วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฝน..กับแสงแดดอุ่น ๆ


หลังจากฝนตกลงมามากมาย  เมื่อวานและวันนี้ 
แสงแดดอุ่น ๆ ก็เริ่มมีให้เห็นเป็นครั้งแรกที่ฟ้าปิดไปนานหลายชั่วโมง 
ด้วยใจที่หวั่นวิตก  ว่าจะมีข่าวน้ำท่วมหรือดินถล่มเกิดขึ้นที่ใดบ้างในเกาะเรานี้

"น้ำท่วมยังดีกว่าฝนแล้ง  น้องว่าน้ำแห้งฝนแล้งซะยังดีกว่า " ได้ยินเพลงนี้ลอยมาไกล ๆ

ใช่ไกล ๆ เพราะข่าวเพื่อนเราจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี  น้ำท่วมหนัก


วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ละเลยอะไรบางอย่าง



จะแย่งชิง อะไร  กันนักหนา
ถึงกับฆ่า กันตาย  สหายเอ๋ย
ประเทศก้าว ไปไม่  ถึงไหนเลย
เพราะละเลย อะไร ไปบางอย่าง



..................



วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

สวรรค์มีตา..ฟ้ากำหนด




อะไรกันนักหนา..นะชีวิต
ฟ้าลิขิตมาเป็น..อยู่เช่นนี้
ทำไปเถอะทำดี..และคิดดี
ต่อไปนี้มอบให้ฟ้า..สอดตาแล



เมื่อสวรรค์มีตา..ฟ้ากำหนด
ปฐมบท"โอชิน"ดูจะแย่
ลิ้นไม่ยาวเลียไม่เป็น..มองเห็นแพ
ถูกลอยแน่ออกทะเล..จบเห่เลย



นครโฮจิมนห์ - อุโมค์กู๋จี (3)

ไหว้งาม ๆ เจ้าเลขา (เจ้าฮะ)


เป็นการซื้อส่งท้ายเมืองดาลัดภาพวาดสวย ๆ เหมาไปเลย ภาพละ 20,000 ด่อง


เช้าวันที่ 1 กันยายน 2553 เหล่าเราก็เคลื่อนทัพออกจากดาลัด  ทิ้งร่อยรอยแห่งความทรงจำไว้ ณ เมืองสวยแห่งนี้  หลายคนที่มีความรักคงจะนึกในใจ  ว่าเราต้องกลับมาใหม่เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนโรแมนติก



ระหว่างทางกลับจากเมืองดาลัดสู่นครโฮจิมินห์  ผ่านน้ำตกอันสวยงามขนาดใหญ่ชื่อว่าน้ำตก prann   magour  แวะชักภาพตรงนี้นานพอสมควร  ก่อนมุ่งหน้ากลับโฮจิมินห์

มีรูปกับเขาด้วย อิอิ













ดอกกระดาษ

ระหว่างทางกลับจากต่อไปนี้จะเห็นไร่กาแฟ  ไร่ชา เรียงรายตามไหล่เขา  เมื่องนี้เป็นเมืองชากาแฟจริง ๆ










รับประทานอาหารเย็นบนเรือล่องแม่น้ำไซง่อน  สร้างความบรรเทิงกันพอสมควร  เพราะมีโคโยตี้มาสะบัดสะโพกให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หัวใจกระเด็นกระดอนออกมานอกเสื้อพอสมควร หุหุ

เอาเป็นว่าเหมือนล่องแม่น้ำเจ้าพระยาแถว ๆ โรงแรมริเวอร์ไซด์ประมาณนั้น





คืนนั้นมีคนไปตะลุยนครโฮจิมินห์ตรงตลาดเบนถันยามค่ำคืน  คงไม่ต่างจากถนนคนเดินทั่ว ๆ ไป





เราเข้าพักที่โรงแรม Sen Viet  Hotel  อยู่กลางใจเมือง  ว่าจะเดินไปชมทัศนียภาพ ถนนหนทางซะหน่อย  ไปได้หน่อยเดียวต้องยอมแพ้ถอยกลับ  เพราะสู้ไม่ไหวรถมอร์เตอร์ไซด์จะชนตาย  ไม่อยากเป็นศพอยู่เวียดนาม  รถยังกับฝูงแมลงเม่าออกจากรู  ขับกันแบบไม่สนใจใคร  แต่ก็แปลกไม่เห็นมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น



เช้าขึ้นมาเสร็จสรรพกับอาหารเช้าพร้อมสัมภาระ  เรามีเวลาอีกวันหนึ่งในเวียดนาม  ไปย้อนอดีตสงครามเวียดนามตอนสังครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุโมงค์กู๋จี




ลงอุโมงค์ (ก้นใครหว่า)

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวเวียดนามถึงเก่งเพราะเขามีแนวคิดต่อสู้กับสหรัฐที่มียุทโธปกรณ์มีแสนยานุภาพ  แบบนี้นี่เอง
ขุดรูลวงข้าศึกแบบแยบยล  ใช้ภูมิปัญญาต่อสู้กับอาวุธสมัยใหม่ที่มีแสนยานุภาพสูง  ทหารอเมริกันเอาชีวิตมาทิ้งไว้ืี่นี่มากมาย  นี่แหละสงคราม


มันคือระเบิด


เครื่องมือขุดอุโมงค์


กับดักทั้งนั้น







หลุมหลบภัยเดินทางไปมาหาสู่กันได้ใต้ดิน


ทำให้ย้อนนึกถึงสามจังหวัดภาคใต้บ้านเรา  กำลังใช้กลยุทธเดียวกับเวียดนามสมัยสงคราม  คือการลอบโจมตี ฝังกับระเบิด  สงครามเกิดที่ไหนที่นั่นมีการสูญเสีย


รูปปั้นจำลองทหารเวียดนาม


เห็ดข้างทางเดินเก็บมาฝาก


นอกจากสงครามประชาชนแล้ว  คนไทยยังมีสงครามในใจที่มีความเห็นแตกแยกแตกต่างกันไปคนละทิศคนละทางยากที่จะรวมกันเป็นหนึ่งได้  เพราะอะไรหรือ  คำตอบคือ อยู่ที่ผลประโยชน์ที่ใครจะได้รับมากกว่า  ข้ออ้างอื่น ๆ เป็นเพียงเหตุผลสนับสนุนในดูดีในสายตาสังคมชาวโลกเท่านั้น 

อธิบายด้วยภาพ


ดร.สุนันทา ฯ ลงนามก่อนอำลา

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ดาลัดเมืองในฝัน (2)


หน้าพระราชวังตากอากาศกษัตริย์เบ๋าได่  มีคนเวียดนามวางของขาย




เมืองดาลัดเป็นเมืองที่ห้อมล้อมดวยขุนเขาเขียวขจีเต็มไปด้วยป่าสน ทะเลสาบ พืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับจะออกสพรั่งทั้งหุบเขา  ความสวยงามและร่มเย็นของดาลัดที่ทำให้ครั้งหนึ่งฝรั่งเศสมีโครงการจะสถาปนาให้ดาลัดเป็นเมืองหลวงของสหพันธ์รับอินโดจีน ที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เมื่อราวปลายศตวรรษที่ 19 




บริเวณพระราชวัง






 ดาลัดได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลินิรันดร  และเป็นที่รู้จักในเรื่องของสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง  ที่ชวนให้นึกถึงประเทศฝรั่งเศส  ด้วยการออกแบบของบ้านพักตากอากาศที่น่าอบอุ่น  ที่มีขนาดต่างกันไป


พระราชวังตากอากาศกษัตริยเบ๋าได่


ก่อนเข้าไปชมภายในต้องสวมร้องเท้าผ้าแบบนี้ทับ
เวลาเดินระวังเหยียบปลายรองเท้าตนเอง อิอิ


ท่ามกลางแมกไม้และทิวเขา  เมืองดาลัดได้กลายเป็นสถานที่หลบร้อนของนักท่องเที่ยว และยังเป็นแหล่งเพาะปลูกดอกไม้นานาพันธุ์ในประเทศและต่างประเทศ   ที่แข่งกันออกดอกส่งกลิ่นหอมตลอดทั้งปี  เมืองดาลัดยังเป็นที่นิยมของคู่รักที่เพิ่งแต่งงานใหม่จะไปฮันนิมูนกันที่นี่




สภาพบ้านเรือนและตัวเมืองดาลัด เป็นสิ่งปลูกสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก  มีปล่องไฟทั้งจริงและปลอม


รูปปั้นกษัตริย์เบ๋าได่

พระราชวังกษัตริย์เป่าได่  ที่สร้างขึ้นบนเนินเขา  ห้องต่าง ๆ ที่่รักษาไว้  และบรรยากาศรอบ ๆ ที่สวยงามเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว


ห้องรับแขก





ประวัติกษัตริย์เบ๋าได่


ทางออกมีของที่ระลึกขายช่างน่าสนใจดีแท้


ไม้แกะสลัก


แจกันสัญลักษณ์สาวเวียดนามงานปั้นฝีมือ


งานไม้ละลานตา


งานปักปราณีตสวยงาม แต่สู้ราคาไม่ไหว



ถ่ายรูปครั้งละ 10,000 ด่อง



ต่อไปบ้านพิศวง Crezy House  มันน่าพิศวงจริง ๆ ด้วย ทำเลียนแบบให้กลมกลืนไปกับต้นไม้รูปร่างคล้าย ๆ ปราสาทในเทพนิยาย  แต่ภายในเป็นห้อง ๆ จัดไว้สวยงาม เช่นห้องประชุม ห้องนอน ห้องอาหาร ฯลฯ  มีบรรยากาศทึม ๆ แสงสลัว ๆ น่าประหวั่นพรั่นพรึมอยูไม่น้อยถ้าให้เข้ามาคนเดียว














คุณอ๋อยคารวะเจ้าบ้าน

จากนั้นก็ไปนั่งเคเบิ้ลคาร์ทีสถานีกระเช้ารถไฟฟ้า ชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองดาลัดได้ทั้งเมืองที่สามารถมองเห็นทิวสนตลอดเส้นทาง แถมตะโกนลงไปทักทายชาวไร่ข้างล่างที่ทำไร่อยู่ตามไหล่เขาได้ด้วย








เห็นเมืองลาดัดทั้งเมือง


ถ่ายจากบนกระเช้า


ลงจากกระเช้าขึ้นไปนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดตรึกลาม  สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ เป็นวัดพุทธนิกายเซนตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้ ๆ สถานีรถกระเช้านั่นเอง


ศิษย์วัดเตรียมของไหว้

จากนั้นก็ไปชมหุบเขาแห่งความรัก  สัมผัสบรรยากาศที่แสนโรแมนติก  โอบล้อมไปด้วยขุนเขา แมกไม้นานาพันธุ์ และทะเลสาบ  ซึ่งอดีตเคยเป็นป่าที่พระเจ้าเป๋าได่ เคยทรงใช้เป็นที่ล่าสัตว์  มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่สื่อถึงความรักต่าง ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมากมาย ณ เนินเขาแห่งนี้



ยืมภาพน้องเมฆ



ฮา ฮา เข้าทางโจรเลยจินนี่



ณ หุบเขาแห่งความรัก..ท่าทางมันจะรักผิดคู่อยู่นา

ช่วงนี้แบตหมดเลยไม่ได้ถ่ายรูปเอง  ฝนตกปรอย ๆ พอเป็นละออง จึงยืมรูปคนอื่นมาขอบคุณเจ้าของรูปด้วยเจ้าค่ะ  



จากนั้นก็ไม่ช้อบปิ้งตามอัธยาศัย  เขาเรียกว่าไนท์มาเก็ต  แต่ตอนนี้ยังไม่ไนท์  ฮาฮา  ซื้ออะไรดีล่ะเรา  เดินดูสินค้าแปลก ๆ เดินทะลุไปสองอาคารมีแต่เสื้อผ้ากับรองเท้า  เดินลงมาริมทางเดินแม่ค้าชาวพื้นเมืองนั่งขายขนมชนิดหนึ่งคล้าย ๆ ขนมเบี้อง ใช้ไข่ไก่ทำเป็นแผ่นบาง ๆ ในกะทะแบน ๆ ใส่ไส้เป็นผักคล้ายต้นหอม  เมื่อสุกแล้วพับเหมือนขนมเคร๊บกว่าจะได้กินเจรจากันตั้งนานสองนานว่าราคาเท่าไร  สรุปแล้วให้ไป 10,000  ด่อง  เดินกินมาเรื่อย ๆ 





ตลาดสดดี ๆ นี่เอง ได้ซื้อเครื่องคิดเลขมาหนึ่งอัน ไว้จิ้มว่าราคาที่เขาบอกเมื่อเทียบกับเงินไทยเท่าไรกัน 
( 1 บาท = 570  ด่อง )